ยาแก้เครียดคือคำตอบสุดท้าย

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ยาแก้เครียดคือคำตอบสุดท้าย
สังคมของเราเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ การเปลี่ยนแปลงอาจทำให้ชีวิตของเราสะดวกสบายขึ้น แต่ก็อาจทำให้เราเครียดมากขึ้นได้ด้วย จนหลายคนบ่นว่า ทุกวันนี้อยู่ยาก ซึ่งน่าแปลกมาก เพราะความสะดวกสบายมากขึ้นแต่ชีวิตกลับอยู่ยากกว่าเดิม ดูเหมือนว่ายิ่งโลกเปลี่ยนไป คนมากมายกลับมีภาวะเครียดมากขึ้น เช่น เครียดกับปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และภัยธรรมชาติ รวมถึงความไม่แน่นอนต่าง ๆ นานาที่เกิดขึ้นทุกวัน บางคนเครียดกับการงาน และชีวิตส่วนตัว ถ้าหากจัดการความเครียดไม่ได้ ก็จะส่งผลต่อสุขภาพใจและสุขภาพกายด้วย
ในทางการแพทย์ ความเครียดเป็นภาวะที่ร่างกายและจิตใจตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น ทั้งจากภายนอกและภายใน ที่ถูกรับรู้ว่าเป็นภัยคุกคาม หรือเกินกำลังที่จะปรับตัวได้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา จิตใจ และพฤติกรรม ความเครียดไม่ใช่แค่รู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการตอบสนองของร่างกายที่ซับซ้อนมาก เช่น การหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล และอะดรีนาลีน ซึ่งมีผลต่อระบบประสาท หัวใจ และภูมิคุ้มกัน เมื่อประสบกับความเครียด ร่างกายจะตอบสนองโดยมีอาการหัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อตึง นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หรือกินมากผิดปกติ หงุดหงิด วิตกกังวล หรือซึมเศร้า
องค์การอนามัยโลกจัดให้ความเครียดเป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมากในยุคปัจจุบัน หากมีความเครียดสูงหรือเรื้อรังมากกว่า 3 เดือน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ภาวะซึมเศร้า และวิตกกังวล เป็นต้น ที่มาของความเครียดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่เทคนิคการจัดการความเครียดที่ทุกคนสามารถเลือกหยิบไปใช้ ก่อนที่จะต้องใช้ยา ได้แก่
(1) นอนพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 6-8 ชั่วโมง เมื่อได้หลับสักตื่น อย่างน้อยก็น่าจะสดชื่นขึ้น ดีกว่าเครียดไปง่วงไป
(2) วางแผนจัดการเวลาหรือทรัพยากรต่าง ๆ ในชีวิตให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ วางแผนเสร็จก็น่าจะพอมองเห็นทางออกของบางปัญหา เมื่อวางแผนเสร็จเรียบร้อย ความเครียดน่าจะเบาบางลง
(3) ฝึกสมาธิ จดจ่อกับลมหายใจ อยู่กับปัจจุบันขณะ และทำใจให้สงบ
(4) การออกกำลังกาย เมื่อได้เหงื่อ สารเอนดอร์ฟินจะหลั่งออกมาบรรเทาอาการเครียด
(5) ขอความช่วยเหลือจากเพื่อน และครอบครัว ให้ฟังเราระบายความอัดอั้นในใจ เพราะบางคนแค่มีคนให้บ่นให้ระบายก็หายเครียดได้ แต่ข้อนี้อาจจะต้องเลือกดี ๆ ถ้าบ่นให้ฟังผิดคน อาจจะเครียดกว่าเดิม
คนที่ทำทุกข้อในข้างต้นแล้วยังไม่ดีขึ้น หรือกำจัดปัจจัยที่ทำให้เครียดออกไปไม่ได้สักที อาจสงสัยว่า กินยาคลายเครียดให้จบ ๆ ไปได้หรือไม่ ตอบว่าได้ แต่ย้ำว่าการใช้ยาคลายเครียดต้องพิจารณาว่า เมื่อความเครียดหรือความวิตกกังวลนั้นมันรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน สุขภาพร่างกาย หรือจิตใจ จนไม่สามารถควบคุมหรือบรรเทาได้ด้วยวิธีอื่น ตัวอย่างที่แพทย์พิจารณาให้ยาคลายเครียดคือ อาการวิตกกังวลมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน เช่น วิตกกังวลจนทำงานไม่ได้ ใจสั่น เหงื่อออกง่าย เบื่ออาหาร หรือหลีกเลี่ยงสังคม นอนไม่หลับเรื้อรังจากความเครียด โดยเฉพาะเมื่อเป็นนานเกิน 2–3 สัปดาห์ และส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน มีอาการทางกายที่มาจากความเครียด เช่น ปวดหัว ปวดท้อง ใจสั่น ความดันขึ้น โดยแพทย์ตรวจร่างกายแล้ว แต่ว่าไม่พบสาเหตุชัดเจน กรณีนี้ แพทย์พิจารณาแล้วว่าต้องใช้ยา ก็จะสั่งยาคลายเครียดให้ผู้ป่วย ยาส่วนใหญ่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท แพทย์จะสั่งโดยพิจารณาเลือกยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายอย่างรอบคอบ แล้วผู้ป่วยเองก็ต้องใช่ยาตามสั่งอย่างเคร่งครัด ไม่กิน ๆ หยุด ๆ ลดหรือเพิ่มขนาดยาเอง และต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ การจะเพิ่มยา เปลี่ยนยา ลดยา หรือหยุดยาคลายเครียด ต้องอยู่ภายใต้การพิจารณาของแพทย์เท่านั้น
สรุป ความเครียดเป็นเรื่องที่ทุกคนประสบพบเจอได้ บางคนอาจแก้ไขได้ในขั้นต้น แต่ถ้าแก้ไม่ได้ การใช้ยาก็น่าจะเป็นคำตอบสุดท้าย แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลโดยแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น โปรดระลึกเสมอว่า การสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เสพยาเสพติด ไม่ใช่หนทางคลายเครียดท หากใครใดใช้สิ่งเหล่านี้เพราะคิดว่าจะคลายเครียดได้ ขอให้ยุติทันที เพื่อชีวิตที่ดีของคุณเอง
รศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ และรศ.ภญ.ดร.ณัฏฐดา อารีเปี่ยม
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น คุณสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า