ยายับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร กับความเสี่ยงโรคมะเร็ง

รู้เรื่องยากับเภสัชจุฬาฯ : ยายับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร กับความเสี่ยงโรคมะเร็ง
มีคำถามว่าการใช้ยายับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดโรคมะเร็ง จริงหรือ เพราะมีข้อมูลบางอย่างระบุว่าการใช้ยานี้เป็นเวลานานๆ ต่อเนื่อง เป็นต้นเหตุให้เกิดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร จริงหรือ บอกว่าอย่าเพิ่งเชื่อ และอย่าตื่นตูมมากไป
ก่อนอื่นต้องบอกว่า อาการผิดปกติที่ทางเดินอาหารเป็นหนึ่งในอาการที่พบบ่อยในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป เช่น อาการปวดแสบท้อง ท้องอืด จุกเสียด อาหารไม่ย่อย อาการเหล่านี้จะมียาที่ใช้บรรเทา เช่น ยาลดกรด ยาขับลม ยาเพิ่มการบีบตัวของทางเดินอาหาร ยาช่วยย่อย
แต่ยาที่ผู้ป่วยมักถามหา และถูกใช้บ่อย คือ ยาลดกรด ที่ฤทธิ์ลดกรดก็มีหลายประเภท ที่ใช้บ่อยเป็นอันดับต้น คือ ยาที่ออกฤทธิ์สะเทินกรดที่ถูกหลั่งเกินออกมา ซึ่งตัวยามีฤทธิ์เป็นด่าง เช่น sodium bicarbonate, calcium carbonate, magnesium hydroxide, aluminium hydroxide ยาเหล่านี้มีทั้งแบบที่มีตัวยาชนิดเดียว และแบบมีตัวยาหลายชนิด มีทั้งยาเม็ดและยาน้ำ ถ้าเป็นยาเม็ด มักต้องเคี้ยวก่อนกลืน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ส่วนกรณียาน้ำต้องเขย่าขวด หรือเขย่าซองก่อนใช้ เพื่อให้ตัวยากระจายตัวดี ทำให้ผู้ป่วยได้รับยาตรงตามขนาดที่ควรจะเป็น
ยาลดกรดอีกกลุ่มหนึ่งที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างกรด หรือที่เรียกว่า Proton Pump Inhibitors หรือเรียกสั้นๆ ว่า ยากลุ่มพีพีไอ (PPIs) ตามกลไกการออกฤทธิ์ ยากลุ่มนี้ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ตัวยาจะไปลดการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคกรดไหลย้อน (GERD) แผลในกระเพาะอาหาร และภาวะที่เกี่ยวข้องกับกรดในกระเพาะสูงยากลุ่มนี้มีหลายชนิด เช่น โอเมพราโซล (omeprazole),เอสโอเมพราโซล (esomeprazole), แพนโทพราโซล (pantoprazole)เป็นต้น
ปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น กรดไหลย้อน แผลในกระเพาะอาหาร มักเป็นปัญหากึ่งเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ และมีปัจจัยเสี่ยงจากพฤติกรรมสุขภาพและการบริโภคของผู้ป่วย และเมื่อเกิดอาการจุกเสียดแสบท้อง ผู้ป่วยมักซื้อยาใช้เอง และ PPIs ก็เป็นยาที่ผู้ป่วยถามหา เนื่องจากยามีประสิทธิภาพดี ทำให้ผู้ป่วยหายจากอาการได้อย่างดี และสะดวกในการใช้ รวมถึงไม่ค่อยมีรายงานอาการไม่พึงประสงค์ในระยะสั้น แต่ปัจจุบันมีงานวิจัยพบว่า การใช้ PPIs ในระยะยาวอาจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงเกิดมะเร็ง
มาตรงนี้ ก็ขอบอกผู้อ่านอย่าผลีผลามเอายา PPIs ที่รับประทานอยู่ไปทิ้งขว้างด้วยความกลัวมะเร็ง ขอเน้นว่าระยะยาวที่งานวิจัยอ้างถึงว่าจะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งก็คือ การใช้ยาทุกวันนานกว่า 1-3 ปี โดยพบว่าความเสี่ยงที่สูงขึ้นเมื่อใช้ต่อเนื่องเกินกว่า 5 ปีขึ้นไป ทั้งนี้หลักฐานยังคงมีข้อจำกัด และผลการศึกษายังไม่สอดคล้องกัน
สิ่งที่คุณต้องเข้าใจก่อนก็คือ ถ้าผู้ป่วยไม่ดูแล และรักษาให้ดีตัวโรคในกระเพาะอาหารเอง ไม่ว่ากระเพาะอาหารเป็นแผล หรืออักเสบเรื้อรัง รวมถึงติดเชื้อแบคทีเรีย H. pylori ก็มีความเสี่ยงการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารอยู่แล้ว และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นที่พบในบางการศึกษานี้อาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ของผู้ป่วยเอง มากกว่าจะเกิดจากการใช้ยา PPIs โดยตรง
ในกรณีที่ใช้ยา PPIs เองต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็ต้องพิจารณาเหตุผล หรือความจำเป็นการใช้ และควรหยุดใช้ยา เมื่อไม่มีอาการ หรือข้อบ่งใช้
สำหรับคนที่จำเป็นต้องใช้ ยา PPIs เพื่อป้องกันการระคายเคืองกระเพาะอาหาร เนื่องจากมีการยาชนิดอื่นๆ เช่น ยาสเตียรอยด์ หรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)รวมถึงคนที่จำเป็นต้องใช้ยา PPIs บ่อย เนื่องจากอาการกำเริบของโรคทางเดินอาหาร เช่น กรดไหลย้อน หรือแผลในกระเพาะอาหารและคนที่อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้รักษา ก็ไม่ต้องกังวล
ทั้งนี้เราต้องเข้าใจว่าโรคกระเพาะอาหารนั้น บ่อยครั้งเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันของเราเอง จึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และการใช้ชีวิตให้ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหรือเกิดอาการกำเริบ ไม่ว่าจะเป็นการกินมื้อใหญ่ แล้วรีบนอนทันที กินอาหารมันๆ รสจัดๆ ดื่มน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน กินอาหารไม่ตรงเวลา สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะไปทำลายเยื่อบุทางเดินอาหาร รวมถึงการใช้ยาบางประเภทเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกร หากคุณลดละเลิกพฤติกรรมเหล่านี้ได้ เราก็ลดปริมาณการใช้ยา PPIs ลงได้ และทำให้เกิดความปลอดภัยจากการใช้ยาได้มากขึ้น แต่หากคุณเกิดอาการของโรคทางเดินอาหารก็ต้องไปปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา และดูแลรักษาตัวเองให้หายขาด บางครั้งก็จำเป็นต้องหาสาเหตุที่แน่ชัด โดยต้องไปส่องกล้องทางเดินอาหารเพื่อการรักษาถูกต้อง
สุดท้ายนี้ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับยาที่ใช้อยู่ สามารถสอบถามได้ที่ศูนย์ข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทาง line @guruya
รศ.ภก.ดร.บดินทร์ ติวสุวรรณ และรศ.ภญ.ดร.ณัฏฐดา อารีเปี่ยม
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น คุณสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า